Bokujo Monokatari ตำนานการจีบสาวปลูกผัก

Bokujo Monokatari หรือ Harvest Moon [Back to Nature] เป็นหนึ่งในตำนานเกมปลูกผัก ที่ใครหลายๆคนน่าจะเคยได้สัมผัส คนที่เล่นเกมจำนวนไม่น้อยติดเกมนี้กันอย่างอมแงมเลยทีเดียว เนื่องจากวิธีการเล่นที่เข้าใจได้โดยง่ายไม่ ซับซ้อนระยังมีภาพที่น่ารักอีก ทำให้เกมนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก ความทรงจำวัยเด็กอาจจะเป็นอะไรที่ล้ำค่าสำหรับคนบางคนก็เป็นได้ เพราะการออกแบบตัวเกมนี้ค่อนข้างทำได้อย่างยอดเยี่ยม สิ่งที่ได้รับจากเกม Harvest Moon คือ การฝึกความอดทนนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของผู้ที่เล่นเกมนี้ เพราะว่า ไม่มีใครประสบกับความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย อย่างประสบความสำเร็จมาก ก็ต้องลงทุนใช้เวลามากกว่าคนอื่นเขาในการทำงาน สิ่งที่ได้จากเกมนี้อีกหนึ่งอย่างคือเรื่องของเวลา สำหรับเด็กหลายคนที่เล่นเกมนี้จะทำให้วงจรเวลาของเกมซึมซับเข้าไป ให้เข้าใจว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ บางสิ่งบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นได้เพียงช่วงเวลานั้นๆ เพียงครั้งเดียว ความรักก็เช่นกัน สอนให้เปย์สาวๆ เอ้ย!!! สอนให้รู้จักคุณค่าของความรัก การรักใครควรจะเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น (แต่งงานได้คนเดียว) เมื่อมองย้อนไปและนำมาใช้ในชีวิตของตัวเอง จะพบว่าเกมนี้สอนอะไรมากมายจริงๆ

การปลูกผักที่เป็นปัจจัยหลักสำหรับการทำฟาร์ม

รายได้หลักของตัวละครเกมนี้ คือ การปลูกพืชในแปลงเพื่อสร้างรายได้ โดยที่ตัวพืชผักที่เราสามารถนำมาได้ก็เกี่ยวกับ จะสามารถหาได้จาก ร้านค้า Super Market ของหมู่บ้าน หรือ หว่องพ่อค้าจีน ซึ่งในแต่ฤดูกาลจะปลูกพืชได้แตกต่างกัน และ ยังมีของป่าที่สมควรแก่การนำมาขายเช่นกัน

ฤดูใบไม้ผลิ

ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อที่จะนำ รายได้มาใช้ประโยชน์ 5 ชนิด ได้แก่
Turnip (คนไทยเรียกหัวไซเท้า) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 120 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 60
Potato (มันฝรั่ง) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 150 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 80 G
Cucumber (แตงกวา) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 200 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 60 G
Cabbage (กะหล่ำปลี) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 500 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 250 G (ซื้อได้จากหว่อง)
Strawberry (สตอเบอรี่) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 150 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 30 G
*หมายเหตุ Strawberry จะมีขายได้ก็ต่อเมื่อขายผลผลิตอื่นๆได้ครบ 100 ชิ้น
ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อประโยชน์อื่นๆ 3 ชนิด ได้แก่
Toy Flower มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 300 G
Moondrop Flower มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 300 G
Grass มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 500 G
*Moondrop Flower จะมีขายเมื่อเกิดเหตุการณ์คาเรนมอบเมล็ดพันธ์ให้
พืชป่าที่สามารถนำมาขายเพื่อสร้างรายได้ฤดูกาลนี้มี 2 อย่างด้วยกัน ได้แก่
Bamboo Shoot (หน่อไม้) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 50 G
Blue Grass (หญ้าสีน้ำเงิน) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 100 G

ฤดูร้อน

ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อที่จะนำ รายได้มาใช้ประโยชน์ 5 ชนิด ได้แก่
Onion (หัวหอม) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 150 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 80 G
Tomato (มะเขือเทศ) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 200 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 60 G
Corn (ข้าวโพด) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 300 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 100 G
Pineapple (สัปปะรด) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 1,000 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 500 G (ซื้อได้จากหว่อง)
Pumpkin (ฝักทอง) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 500 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 250 G
*หมายเหตุ Pumpkin จะมีขายได้ก็ต่อเมื่อขายผลผลิตอื่นๆได้ครบ 100 ชิ้น
ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อประโยชน์อื่นๆ 2 ชนิด ได้แก่
Pink Cat Flower มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 200 G
Grass มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 500 G
พืชป่าที่สามารถนำมาขายเพื่อสร้างรายได้ฤดูกาลนี้มี 1 อย่างด้วยกัน ได้แก่
Red Grass (หญ้าแดง) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 100 G

ฤดูใบไม้ร่วง

ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อที่จะนำ รายได้มาใช้ประโยชน์ 5 ชนิด ได้แก่
Carrot (แครอท) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 300 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 120 G
Eggplant (มะเขือม่วง) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 120 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 80 G
Sweet Potato (มันหวาน) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 300 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 120 G
Green Pepper (พริกหวาน หรือ พริกหยวก) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 150 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 40 G
Spinach (ปวยเล้ง) มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 200 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 80 G
*หมายเหตุ Spinach จะมีขายได้ก็ต่อเมื่อขายผลผลิตอื่นๆได้ครบ 100 ชิ้น
ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อประโยชน์อื่นๆ 2 ชนิด ได้แก่
Magic Red Flower มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 600 G
Grass มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 500 G
พืชป่าที่สามารถนำมาขายเพื่อสร้างรายได้ฤดูกาลนี้มี 6 อย่างด้วยกัน ได้แก่
Apples (แอปเปิ้ล)ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 50 G
Green Grass (หญ้าเขียว) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 100 G
Wild Grapes (องุ่นป่า) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 50 G
Mushroom (เห็ด) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 70 G
Poisonous Mushroom (เห็ดพิษ) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 100 G
Truffle (เห็ดมัตซึทาเกะ) ราคาขายต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 500 G

ฤดูหนาว

ในฤดูนี้จะมีพืชพันธ์ที่ซื้อมาปลูกเพื่อที่จะนำ รายได้มาใช้ประโยชน์ 1 ชนิด ได้แก่
Orange Cup Fruit มีราคาซื้อเมล็ดพันธ์อยู่ที่ 1,000 G ราคาขายผลผลิตต่อ 1 ชิ้นอยู่ที่ 60 G (ไม่คุ้มที่จะปลูกขาย เหมาะที่นำไปให้ของขวัญ)

นอกจากการปลูกพืชผักแล้วจะยังมีการเลี้ยงสัตว์จำนวนมากอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไก่ วัว แกะ หรือ ม้า เป็นปัจจัยในการทำให้ฟาร์มนั้นสมบูรณ์ เรียกได้ว่ากว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวกันได้นี่ใช้เวลายาวนานกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามความรู้สึกของการทำฟาร์มน่าจะได้เข้าไปอยู่ภายในใจของใครหลายๆคนอย่างแน่นอน หากพูดถึงเกมแห่งยุค 90 หรือ ตำนาน 10 อันดับ ใน 100 คนต้องมีคิดถึงเกมนี้อย่างน้อย 7-8 คนด้วยกัน และ แน่ใจได้เลยว่าทั้งหมดที่คิดถึงเกมนี้ต้องเคยเล่น หรือ ได้สัมผัสมาบ้าง Harvest Moon [Back to Nature] จึงกลายเป็นเกมฟาร์มที่ดีที่สุดตลอดกาล